สถานที่ท่องเที่ยวโฮจิมินห์-เวียดนามใต้
โฮจิมินห์ อดีตเมืองหลวงของเวียดนามใต้ เดิมเรียกว่า ไซ่ง่อน ครั้งเมื่องกองทัพแดงของเวียดนามเหนือบุกยึดเวียดนามใต้ได้ในปี ค.ศ.1975 จึงเปลี่ยนชื่อเมืองเป็นโฮจิมินห์ เพื่อเป็นการรำลึกถึง “ลุงโฮ จิ มินห์” ประธานาธิบดีคนแรกของเวียดนามนั้นเอง ในปัจจุบันเมืองโฮจิมินห์มีการเจริญเติบโตทางธุรกิจและการท่องเที่ยว ซึ่งสำคัญต่อประเทศเวียดนามเป็นอย่างมาก ในทุกๆปีจะมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยเองและชาวต่างชาติอื่นๆนิยมเดินทางไปท่องเที่ยวกัน เนื่องจากมีสถานที่ท่องเที่ยวที่หลากหลายสวยงามและน่าดึงดูดใจ
ส่วนคนไทยที่ต้องการเดินทางไปยังเวียดนามไม่ต้องขอวีซ่า สามารถใช้พาสปอร์ตที่มีอายุคงเหลือไม่น้อยกว่า 6 เดือน และสามารถใช้อยู่ได้สูงสุด 1 เดือน แต่ถ้าหากใครต้องการอยู่เกินกว่านี้จะต้องไปติดต่อขอทำวีซ่า ซึ่งสามารถใช้อยู่ที่เวียดนามได้ภายในระยะเวลา 6 เดือน สามารถติดต่อได้ที่สถานฑูตเวียดนามประจำประเทศไทย บ้านเลขที่ 83/1 ถ.วิทยุ แขวงลุมพินี ปทุมวัน กทม. 10330 เวลาทำการ จันทร์ – ศุกร์ 8.30-11.30 และ 13.30-16.30 เว้นวันหยุดสถานฑูต
แนะนำโรงแรม ที่พักใกล้แหล่งท่องเที่ยว
ใน โฮจิมินห์-เวียดนาม คลิ๊ก!!
แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในนครโฮจิมินห์-เวียดนามใต้
ทำเนียบของอดีตประธานาธิบดี
(Reunification Palace)
ตั้งอยู่บริเวณใจกลางเมืองโฮจิมินห์ ปัจจุบันเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ด้วย อาคารทันสมัยหลังใหญ่นี้รายรอบด้วยสวนขนาดใหญ่มีบ่อน้ำพุอยู่ตรงกลางด้านหน้า สถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่ในบริเวณที่เคยเป็นทำเนียบของผู้ว่าการชาวฝรั่งเศส ที่เรียกว่า ทำเนียบนโรดม (Norodom Palace) ทำเนียบนี้ถูกทิ้งระเบิดโดยทหารอากาศเวียตนามใต้และได้มีการสร้างอาคารใหม่ ที่รู้จักกันในชื่อทำเนียบอิสรภาพ (Independence Palace) ขึ้นแทนที่โครงสร้างเก่าที่ถูกทำลาย
โดยอาคารแห่งนี้ถูกออกแบบโดยโงเวียดทู (Ngo Viet Thu) สถาปนิกชาวเวียตนามผู้ที่เรียนจบการศึกษาจากประเทศฝรั่งเศส สร้างเสร็จสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2509 ก่อนจะสิ้นสุดลงในวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2518 เมื่อกองกำลังคอมมิวนิสต์ได้เคลื่อนขบวนรถถังเข้าชนประตูเหล็ก ด้านหน้าของทำเนียบและโค่นรัฐบาลเวียตนามใต้ลง ปัจจุบันได้เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้แก่ผู่ที่สนใจเข้ามาชม โดยทุกสิ่งทุกอย่างถูกทิ้งไว้ให้อยู่ในสภาพเดิมเหมือนวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2509
โดยชั้นล่างเป็นห้องสำหรับจัดเลี้ยงและห้องโถงใหญ่ซึ่งรัฐบาลเวียตนามใต้ประกาศยอมแพ้ ส่วนห้องเล็กถูกใช้สำหรับการบรรยายสรุปประจำวันทางทหาร ในระหว่างช่วงก่อนที่รัฐบาลเวียตนามใต้จะถูกโค่น ชั้นที่สองเป็นห้องรับรองของประธานาธิบดีตรันวันเฮือง และห้องรับรองของประธานาธิบดีเทียว ซึ่งเพียบพร้อมด้วยห้องนอน ห้องรับประทานอาหาร และห้องสวดมนต์แบบคาทอลิค ชั้นสามเป็นห้องรับรองของภริยาประธานาธิบดี ชั้นที่สี่เป็นห้องฉายภาพยนตร์ส่วนตัวและลานจอดเฮลิคอปเตอร์
ซึ่งจากที่นี่จะสมารถเห็นทิวทัศน์อันงดงามของถนนเลหย่วนได้เป็นอย่างดี ด้านหลังทำเนียบเป็นสาธารณะกงเวียดวันฮวา ซึ่งเป็นพื้นที่สีเขียวร่มรื่นสบายตา ด้านหน้าเป็นถนนเลหย่วน ถูกกั้นไว้ด้วยสวนสาธารณะใหญ่แห่งหนึ่งที่ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ใหญ่ บริเวณด้านหนึ่งใกล้กับถนนไทวันลุง เป็นสำนักงานของโครงการอพยพอย่างมีระเบียบของอเมริกันซึ่งตั้งอยู่ในปี พ.ศ. 2523 เพื่อให้ความช่วยเหลือเด็กลูกครึ่งอเมริกัน-เอเชีย และผู้ลี้ภัยทางการเมืองอยู่บริเวณใกล้ๆ นั้นด้วย
พิพิธภัณฑ์สงคราม
(War Remnants Museum)
เป็นพิพิธภัณฑ์ที่เน้นเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของสงครามเวียดนามโดยเฉพาะ บริเวณภายในอาคารมีการจัดแสดงอาวุธที่ใช้ในสมัยสงครามที่มีทั้งปืน กระสุน ระเบิด รถถัง เครื่องบิน เครื่องจองจำ เครื่องทรมาน เครื่องประหาร และคุกจำลอง บอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีต ซึ่งแต่ละภาพล้วนสื่อให้เห็นถึงความโหดร้ายของสงครามในยุคนั้น รวมไปถึงสะท้อนให้เห็นความสูญเสียและทรมาน รวมถึงความหดหู่ของผู้รับเคราะห์ได้อย่างถึงอารมณ์กันเลยทีเดียว
พิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์
(Ho Chi Minh Museum)
อาคารแห่งนี้สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1862-1863 ตามสถาปัตยกรรมแบบฝรั่งเศสผสมหลังคาแบบวัดจีน สาเหตุที่มีชื่อเล่ยว่าบ้านมังกร เนื่องจาก บนหลังคามีมังกรสองตัวอยู่ด้านบนนั้นเอง สมัยก่อนที่นี้ใช้เป็นบริษัทชิปปิ้งของฝรั่งเศส ภายหลังฝรั่งเศสพ่ายแพ้สงคราม อาคารหลังนี้จึงตกอยู่ในการครอบครองของรัฐบาลเวียดนาม ก่อนที่คณะกรรมการราษฎรเมืองโฮจิมินห์ใช้ป็นที่ตั้งพิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์ในปี ค.ศ.1979
ภายในมีส่วนจัดแสดงเรื่องราวชีวิตของลุงโฮ โดยแบ่งออกเป็น 3 ชั้น รวบรวมภาพการต่อสู้เพื่อเอกราชของชาวเวียดนาม รวมทั้งชีวประวัติลุงโฮตั้งแต่วัยหนุ่มจนก้าวเข้ามามีบทบาทในฐานะผู้นำประเทศ โดยแบ่งห้องแต่ละห้องตามลำดับเหตุการที่เกิดขึ้น เพื่อบอกเล่าชีวิตเรื่องราวของุง โฮ จิ มินห์ ให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้
พิพิธภัณฑ์ศิลปะ
(Fine Art Museum)
สร้างขึ้นในช่วงปี ค.ศ.1929-1934 ใบแบบสไตล์ฝรั่งเศสโคโลเนียลผสมจีน แต่เดิมที่นี้เป็นบ้านของเศรษฐีชาวจีนนามว่า ฮุย โบน ฮวา ผู้ร่ำรวยที่สุดแห่งไซ่งอนในยุคภายใต้การปกครองของฝรั่งเศส นอกจากนี้ยังเป็นเจ้าของอาคารดังๆในโฮจิมินห์อีกหลายแห่งอีกด้วย ภายหลังคณะกรรมการราษฎรของเวียดนามได้บูรณะบ้านหลังนี้ขึ้นมาใหม่ เพื่อใช้เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะ ในปี ค.ศ. 1987
ปัจจุบันที่นี้ได้รับการยกย่องให้เป็นพิพิธภัณฑ์แห่งชาติระดับชั้นหนึ่งของกระทรวงวัฒนธรรมเวียดนาม ภายในแบ่งออกเป็น 3 ชั้น รวบรวมวัตถุโบราณและผลงานศิลปะของเวียดนาม ทั้งภาพวาด ภาพถ่าย งานปูนปั้น เครื่องเคลือบดินเผา และอีกมากมาย และนี้จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้นักท่องเที่ยวที่มายังโฮจิมินห์จึงไม่พลาดที่จะแวะไปชมพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่อยู่ภายในนี้นั้นเอง
โบสถ์นอร์ทดาร์ม
(Notre-Dame Cathedral Basilica of Saigon)
ตั้งอยู่บริเวณกลางเมืองบนถนน Han Thuyen ได้รับการก่อสร้างตั้งแต่ปี ค.ศ.1863 โดยให้ บิชอปเลแฟเว วางหินก้อนแรกที่ใช้ก่อสร้าง และสร้างเสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ.1865 และให้ใช้ชื่อโบสถ์แห่งนี้ว่าโบสถ์ไซ่ง่อน ต่อมาเมื่อโบสถ์ไม้ถูกปลวกกัดกินจนได้รับความเสียหาย ทำให้ แอ็ม ดูแปร์ ผู้ปกครองของโคซินจีน จัดให้มีการแข่งขันการออกแบบโบสถ์ขึ้นใหม่ใบปี ค.ศ. 1876
ผลปรากฎว่าผลงานของสถาปนิก จี บูรัด ที่ได้ออกแบบดยสถ์ในสไตล์นีโอโรมันเนสก์ ดูโดดเด่นที่สุด จนได้รับเลือกให้ชนะ และสร้างตรงที่ตั้งเดิมของโบสถ์ไซ่ง่อน ส่วนวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ก็นำเข้ามาจากฝรั่งเศสทั้งหมด ต่อมาในปี ค.ศ.1895 หอระฆังทั้งสองก็ได้ถูกสร้างขึ้น สูงประมาณ 57.6 เมตร อีกทั้งระฆังที่ทำจากทองสัมฤทธิ์อีกจำนวน 6 ใบ ด้านบนหอคอยประดับด้วยไม้กางเขนข้างละ 1 อัน สูง 3.5 เมตรและกว้าง 2 เมตร และในปีค.ศ.1959 คณะวาติกันก็ได้อนุมัติชื่อโบสถ์อย่างเป็นทางการว่า นอร์ทดาร์ม นั้นเอง
ด้านหน้าโบสถ์มีรูปปั้นขนาดใหญ่สีขาวเด่นเป็นสง่าของพระแม่มารี นักท่องเที่ยวนิยมเข้ามาชมกันมากเพราะเป็นเสมือนสัญลักษณ์ร่วม อันหมายถึงการเข้ามาของตะวันตก และเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญอย่างหนึ่งของโฮจิมินห์ สำหรับโบสถ์แห่งนี้ได้รับการยกย่องว่ามีความงดงามมากที่สุดแห่งหนึ่งในเวียตนาม โดยในแต่ละวันมีนักท่องเที่ยวมาเยือนเป็นจำนวนมาก
ไปรษณีย์กลาง
(Saigon Post Office)
ตั้งอยู่บริเวณใจกลางเมืองโฮจิมินห์ ใกล้กับโบสถ์นอร์ทเธอดามอยู่ทางด้านขวาได้รับการก่อสร้างขึ้นเมื่อ ปี พ.ศ. 2439 เสร็จในปี พ.ศ. 2444 มีการออกแบบและก่อสร้างในสไตล์ฝรั่งเศส เป็นผลงานของ กุสตาฟ ไอเฟล คนเดียวกับที่สร้างหอไอเฟลนั้นเอง ได้รับการออกแบบตกแต่งอย่างงดงาม ตัวอาคารภายนอกมีสีเหลืง เป็นไปรษณีย์ที่ใหญ่ที่สุดในเวียตนาม มีความสวยงามอลังการและอ่อนช้อยแต่มั่นคง
ภายในตัวอาคารมีการประดับภาพแผนที่ทางทะเลโบราณ และภาพของอดีตผู้นำประเทศโฮจิมินห์ นอกจากนี้ยังมีการบริการทั้งการส่งจดหมาย แสตมป์เพื่อการสะสม โปสการ์ด โทรศัพท์ระหว่างประเทศในอัตราค่าบริการมาตรฐาน ซึ่งปัจจุบันก็ยังเปิดให้บริการอยู่ นอกจากนี้ยังมีของฝากของที่ระลึกเกี่ยวกับไปรษณีย์ซึ่งมีจำน่ายอยู่มากมายหลายแบบให้นักท่องเที่ยว หรือนักสะสมได้เลือกซื้อกัน โดยร้านจะตั้งอยู่บริเวณสองฝั่งของประตูทางเข้านั้นเอง
ตลาดเบ็นถั่ญ
(Ben Thanh Market)
อีกหนึ่งสถานที่ที่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองโฮจิมินห์ ในภาษาเวียดนาม Ben แปลว่า ท่าเรือ และThanh แปลว่าป้อมปราการ อาคารภายนอกมีความโดดเด่น และสามารถสังเกตุเห็นได้ง่าย ด้านหน้าเป็นหอนาฬิกาที่เป็นสัญลักษณ์ของตลาดแห่งนี้
ที่นี้เป็นแหล่งรวมช้อปปิ้งสินค้าพื้นเมืองต่างๆอีกทั้งมีราคาย่อมเยาว์ นักท่อเที่ยวที่มาเลือกซื้อของที่นี้ส่วนใหญ่จะสามารถต่อราคาได้ถึง 50 % ของราคาขายจริงหน้าร้าน พ่อค้าแม่ค้าส่วนใหญ่ที่นี้จะสามารถพูดภาษาไทยได้ เนื่องจากมีนักท่องเที่ยวที่เป็นชาวไทยนิยมมาเลือกซื้อของฝากของที่ระลึกที่นี้กันเป็นจำนวนมาก
โดยสินค้าส่วนมากจะเป็นประเภทสินค้าหัตถกรรมพื้นเมือง ของที่ระลึก สิ่งทอ อาหารสด อาหารพื้นเมือง ผลไม้ต่างๆ ของแห้ง ชาเวียดนามซึ่งมีมากมายหลากหลายกลิ่น กาแฟเวียดนามที่เป็นของฝากยอมนิยมของนักท่องเที่ยวที่มา นอกจากนี้ฝั่งตรงข้ามวงเวียนหน้าตลาดเบ็นถั่ญ ยังเป็นจุดขึ้น-ลงรถบัสหลายสาย เปรียบเสมือนวงเวียนอนุสาวรีย์ชัยฯที่กรุงเทพนั้นเอง
การแสดงหุ่นกระบอกน้ำ
(The Golden Dragon Water Puppet Theater)
ถือว่าเป็นการแสดงศิลปะประจำชาติของเวียดนามที่ปัจจุบันนี้เหลืออยู่ไม่กี่คณะแล้ว ซึ่ง Thang Long Water Puppet Theatre เริ่มก่อตั้งและแสดงมาตั้งแต่ พ.ศ. 2512 ที่กรุงฮานอย การแสดงหุ่นกระบอกน้ำจะมีวงดนตรีพื้นเมืองบรรเลงประกอบการแสดงเพื่อสร้างอรรถรสในการชม ตรงกลางเวทีจะมีบ่อน้ำขนาดใหญ่เพื่อใช้สำหรับการแสดงหุ่นกระบอกน้ำ
โดยผู้ชักหุ่นกระบอกน้ำจะอยู่หลังฉากโดยหน้าฉากก็จะตกแต่งไว้อย่างสวยงาม ผู้ชักหุ่นกระบอกจะยืนแช่น้ำครึ่งตัว โดยมีผู้ชักหุ่นกระบอกน้ำ 9 คน ซึ่งการแสดงก็จะบอกเล่าถึงเรื่องราวต่าง ๆ มีให้ท่านผู้ชมได้ชมถึง 17 ชุด กันเลยทีเดียว ซึโรงละครกระบอกน้ำแห่งนี้สามารถจุผู้เข้าชมการแสดงได้ 500 คน
การแสดงจะมีวันละ 4 รอบ ตั้งแต่เวลา 17.00 น. 18.30 น. 20.00 น. และ 21.15 น. โดยการแสดงรอบละ 1 ชั่วโมง การแสดงหุ่นกระบอกน้ำได้รับรางวัลยอดเยี่ยมจาการประกวดนานาชาติ การแสดงหุ่นกระบอกน้ำนี้จะมีให้ชมได้ที่กรุงฮานอยและนครโฮจิมินห์ซิตี้ อีกหนึ่งการแสดงไฮไลท์ประจำเวียดนามที่ไม่ควรพลาดชมเมื่อมาท่องเที่ยวยังเมืองโฮจิมินห์นั้นเอง
ศาลาว่าการโฮจินมินห์
(Ho Chimin City Hall)
ตั้งอยู่บริเวณใจกลางเมืองโฮจิมินห์ ออกแบบโดยสถาปนิกส์ชื่อดังชาวฝรั่งเศษ เป การ์เดส์ เริ่มก่อสร้างเมื่อปี ค.ศ. 1908 โดยจุดนี้จะมีรูปปั้นของอดีตประธานาธิบดีโฮจิมินห์อยู่ด้านหน้า ด้านหลังเป็นศาลาว่าการเมืองเป็นตึกสีเหลืองครีมสวยงามเด่นชัดตามสไตล์โคโลเนียลในสไตล์ฝรั่งเศส
ตรงกลางเป็นห้องโถงกลาง มีหอระฆังอยู่ด้านบนที่ดัดแปลงมาจากสถาปัตยกรรมสไตล์ เรอเนซองซ์ ด้านซ้ายและขวามีปีกอาคารคอยรับอยู่ หลังจากที่อาคารหลักนี้สร้างเสร็จก็ได้กลายมาเป็นสถานที่ทำงานของรัฐบาล มีแต่ข้าราชการ กับผู้เกี่ยวข้องเท่านั้นที่เข้าไปได้ นักท่องเที่ยวที่มาจึงนิยมมาเดินเล่นเยี่ยมชมความสวยงาม และถ่ายภาพเป็นที่ระลึกกัน
สามารถมาได้ทั้งกลางวันและกลางคืนซึ่งจะมีความสวยงามแตกต่างกันไป ตรงนี้ถือว่าเป็นจุดศูนย์กลางความเจริญและเป็นย่านการค้าการท่องเที่ยวของเมืองเพราะมีศูนย์การค้า ร้านค้าแบรนด์เนมดังและโรงแรมหรูๆ อยู่รอบๆ เช่น วินคอมเซ็นเตอร์,ลัคกี้พลาซ่า, ยูเนี่ยนสแควร์,ไซ่ง่อนเซ็นเตอร์, ไซ่ง่อนสแควร์, อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นไฮไลท์สำคัญของเมืองหลวงอย่างโฮจิมินห์ ที่ไม่ควรพลาดนัน้เอง
ถนนคนเดินเหงียนเว้ /โฮจิมินห์ซิตี้สแควร์
( Ho Chi Minh City Square)
หรือที่รู้จักกันในชื่อ โฮจิมินห์ซิตี้สแควร์ มีความยาว 670 เมตรกว้าง 64 เมตร ภายในมีการแสดงน้ำพุหลากสี ตัวพื้นทำจากหินแกรนิต ใช้ระบบการควบคุมที่ทันสมัย โชว์วันละ 4 รอบ รอบละ 1 ชม. ในทุกวันจะมีทั้งนักท่องเที่ยวและชาวเวียดนามเองนับพันคน เข้ามาชม เดินเล่น พักผ่อน ทำกิจกรรมต่างๆร่วมกัน รวมทั้งถ่ายภาพในเมืองซึ่งมีความสนุกสนานเป็นอย่างมาก
ถนนเหงียนเว้หนึ่งในถนนที่สวยที่สุดของเมืองโฮจิมินห์นักท่องเที่ยวที่มาจะเพลิดเพลินไปกับการเดินเท้าชมความสวยงาม กับหลากหลายอาคารสูงและศูนย์กลางการค้าโดยเฉพาะในตอนกลางคืน แม้ว่าหลายคนเรียกเมืองเดิน แต่ความจริงแล้วรถก็ยังคงวิ่งบนถนนของเหงียนเว้ บูเลอวาร์ดนั้นเอง (ยกเว้นตอนเย็นวันเสาร์และวันอาทิตย์)
สะพานสตาร์ไลท์บริจด์
(Starlight Bridge / Anh Sao Bridge)
ตั้งอยู่ในเขตเมืองใหม่ ฟู่มี่ฮุง (Phu My Hung) เขต 7, โฮจิมินห์ซิตี้. ใช้สำหรับคนเดินเท้าเท่านั้น อีกทั้งยังเป็นสะพานที่ทันสมัยของเวียดนามแห่งแรกอีกด้วย เป็นสะพานที่ใช้เดินข้ามคลองไปยังอีกฝั่ง โดยสะพานแห่งนี้มีลักษณะเป็นรูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว เริ่มก่อสร้างในเดือนพฤษภาคมปี 2009
สะพานได้รับการออกแบบโดยมีความยาว 170 เมตร พื้นสะพานกว้าง 8.3 เมตร สาเหตุที่เรียกว่าสะพานสตาร์ไลท์นั้นก็เป็นเพราะว่า พื้นผิวบนสะพานถูกออกแบบด้วยไฟ LED มากมายหลายดวงส่องแสงขึ้นสวยงานคล้ายดั่งดาวที่อยู่บนฟ้า นอกจากนี้บริเวณของขอบสะพานยังมีน้ำพุแสง 7 สี ที่เปลี่ยนสีตลอดเวลาทำงานด้วยระบบแบตเตอรี่พลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งติดตั้งอยู่ในบริเวณคอสะพาน
สะพานแห่งนี้มีความโรแมนติกจึงมีคู่หนุ่มสาวรวมถึงคู่รักในวัยต่างๆ พากันไปเดทและชื่นชมบรรยากาศของสถานที่แห่งนี้ในยามค่ำคืน
อุโมงค์กู๋จี
(Cu Chi Tunnels)
อยู่ห่างจากกรุงโฮจืนมินห์ ประมาณ 30 กิโลเมตร อุโมงค์นี้กองกำลังเวียดนามใต้ได้สร้างขึ้นมาจากความไม่พอใจและต่อต้านรัฐบาล ที่ก่อตั้งขึ้นโดยคอมมิวนิสต์เวียดนามเหนือ และเป็นฐานที่มั่นสุดท้ายของทหารเวียดกงที่ก่อสร้างขึ้นเพื่อเพิ่มความสามารถในการสู้รบในสมรภูมิเวียดนามใต้ รวมถึงทหารอเมริกาและพันธมิตร เวียดกงได้รับชัยชนะจากสมรภูมินี้ ในปี พ.ศ.2506 สร้างความสูญเสียมากมายต่อทหารรัฐบาล
ปัจจุบันมีการเปิดสมรภูมิเลือดแห่งนี้ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว สามารถเดินไปยังจุดสำคัญและสามารถมุดลงไปถึงชั้นสามของอุโมงค์ เส้นทางคดเคี้ยวและมืดมาก จากทางเข้าที่แคบและอุดอู้ลงไปเป็นทางสลับซับซ้อนแต่ภายในมีห้องต่างๆ ที่ใช้ในสมัยสงคราม รอบบริเวณมีจัดแสดงกับดักสงครามแบบต่างๆด้วย เรียกได้ว่าเป็นเมืองใต้ดินที่มีความอัศจรรย์และต้องไปชมเมื่อมาถึงที่นี่ ส่วนบริเวณโดยรอบของอุโมงค์แห่งนี้ ยังคงเหลือซากแห่งสงคราม อาทิ รถถัง เครื่องบิน วัตถุระเบิด และหลุมระเบิดขนาดใหญ่ซึ่งกลายเป็นบ่อเลี้ยงปลาไป
วัดเก๋าได๋
(Cao Dai Temple)
อยู่ห่าตัวเมืองโฮจิมินห์ไปประมาณ 90 กิโลเมตร ถือกำเนิดขึ้นในปี ค.ศ.1926 สมัยรัฐบาลฝรั่งเศษเข้ามาปกครองเวียดนาม ที่นี้นับว่าเป็นศูนย์รวมของผู้ที่นับถือศาสนาเก๋าได๋ โดยมีหลักคำสอนศาสนาเก๋าได๋ที่ได้กล่าวถึงกฎแห่งกรรม การกลับชาติมาเกิด การหลุดพ้นจากวัฎสงสาร เมื่อบรรลุธรรมขั้นสูงสุด การทำความดีละเว้นความชั่ว และเชื่อว่าทุกๆการกระทำนั้นอยู่ในสายตาของดวงตาสวรรค์เสมอ มีผู้อาวุธโสสวมชุดทำพิธี สีเหลืองหมายถึงศาสนาพุทธ สีฟ้าหมายถึงลัทธเต๋า และสีแดงหมายถึงลัทธิขงจื๊อ ส่วนผู้ที่เข้าร่วมพิธีจะสวนชุดสีขาว และร่วมกันสวดมนต์พร้อมกับการบรรเลงของเครื่องดนตรีท้องถิ่น
ลักษณะด้านในวิหารจะเป็นห้องโถงยาว เสาแต่ละต้นนั้นจะถูกล้อมรอบไปด้วยมังกรและลายก้อนเมฆ อีกทั้งยังมีงานแกะสลักสีสันสดใส ไม่ว่าจะเป็น มังกร งู ดอกบัว ดวงตาสวรรค์ ตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์จากศาสนาต่างๆ ซึ่งได้นำมารวมอยู่ในที่แห่งนี้ด้วยนั้นเอง ช่วงเวลที่เปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชมนั้นก็คือช่วงเวลา 6.00,12.00,18.00 และ 24.00 น. ผู้ที่จะไปเยี่ยมชมควรแต่งกายสุภาพและห้ามส่งเสียงดังรบกวน
ซุ๋ยเตียนพาร์ค
(Suoi Tien Park)
เป็นสวนสนุกที่ตั้งอยู่ในเขต 9 ของโฮจิมินห์ซิตี้-เวียดนาม ภายในมีที่จอดรถรวมถึงสิ่งบันเทิงมากมายหลากหลาย ภูมิทัศน์และสถานที่ท่องเที่ยวภายในเขตอุทยานฯ แสดงให้เห็นถึงประวัติศาสตร์ของเวียดนามและตำนานต่างๆ เช่น เอาเกอ (Âu Cơ ) และ หลักลองเกวิน (Lạc Long Quân) เช่นเดียวกับการต่อสู้ของ ซ่อนติง (Son Tinh) และ ทุยติง (Thuy Tinh) ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งภูเขาและเทพเจ้าแห่งแม่น้ำ
นอกจากนี้ยังมีสระว่ายน้ำทะเลเทียมที่ตั้งอยู่ในสวนสาธารณะเหมาะแก่การไปพักผ่อนเล่นน้ำและอาบแดดกันแบบครอบครัว อีกทั้งยังมีสวนไดโนเสาร์ อยู่ภายในนี้ด้วย ชายหาดเตียนทรง Tiên Dong เป็นชายหาดที่มนุษย์สร้างขึ้นที่มีน้ำตกขนาดใหญ่ที่มีใบหน้าของจักรพรรดิแกะสลักมีความสวยงามอลังการมาก
สวนสาธารณะแห่งนี้ที่มีสีสันหลากหลายสะดุดตาผู้ทีมาเป็นอย่างมาก นักท่องเที่ยวที่มาจะได้พบเห็นมังกรยักษ์แกะสลัก ทาสีในโทนสีพาสเทลสีฟ้าและสีส้ม สวยงามมาก รูปปั้นพระพุทธรูปสีทองอ่อนนุ่มและสวนสีเขียวชอุ่มไม่เหมือนกับสวนสนุกที่อื่นๆแน่นอน
นอกจากนี้สวนสาธารณะแห่งนี้ยังมีสวนสัตว์ ซึ่งดึงดูดความสนใจแก่เด็กๆที่มาได้เป็นอย่างมากซุ๋ยเตียนพาร์คทีแห่งนี้ เปิดให้บริการในปี 1995 โดยในอนาคตประมาณปี 2017 ลานจอดรถด้านหน้าจะกลายเป็นสถานีต้นสายของรถไฟฟ้าเพื่อวิ่งสู่ตัวเมืองในโฮจิมินห์อีกด้วย ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ในช่วงระหว่างการก่อสร้าง สามารถนั้งรถบัสสาย 19 จากจุดขึ้นรถบัสที่ตลาดเบ็นถั่ญ และลงที่ซุ๋ยเตียนพาร์ค ซึ่งจะอยู่ด้านขวามือ