ไหว้พระธาตุประจำปีเกิด12 นักษัตร ในประเทศไทย
พระธาตุประจำปีเกิด 12 ปีนักษัตร การมีโอกาศได้ไปกราบไหว้พระธาตุประจำปีเกิดของตัวเองนั้น ถือเป็นการเสริมศิริมงคลให้กับชีวิตเราตามความเชื่อและจิตรศรัทธาของเราชาวพุทธ แนะนำว่าควรหาโอกาศไปกราบสักการะพระธาตุประจำปีเกิดของตัวเองสักครั้งในชีวิต บางคนมีโอกาศได้เดินเดินไปกราบทุกปี อีกทั้งได้ทำบุญและทำทานมากมายอีกด้วยถือได้ว่าเป็นการเดินทางท่องเที่ยวทำบุญอีกอย่างหนึ่ง ที่เป็นที่นิยมในตอนนี้ ซึ่งหลายๆคนให้ความสนใจ
บางคนยังไม่รู้จักว่าพระธาตุประจำปีเกิดของตัวเองอยู่ที่ไหน ชื่ออะไร วันนี้เราจะมาแนะนำพระธาตุประจำปีเกิด 12 ปีนักษัตร ในประเทศไทย สามรถเดินทางไปได้ไม่อยาก เพียงแค่มีจิตรศรัทธาที่แรงกล้า อยากไปไหว้สักครั้งเพื่อความเป็นมงคลของตัวเอง แนะนำว่าไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง หากใครมีเวลาในช่วงวันหยุด ลองเปลี่ยนการเดินทางท่องเที่ยวแบบทั่วไป มาเป็น การเที่ยวสายบุญดูบ้าง รับรองได้ว่านอกจากจะสนุกกับการเดินทางแล้ว ยังได้บุญ เสริมวาสนาให้ตัวเองอีกด้วย พระธาตุประจำปีเกิด 12 ปีนักษัตรมีอะไรบ้างไปดูกันเลย
ไหว้พระธาตุประจำปีเกิด 12 ปีนักษัตร เสริมมงคลให้ชีวิต
1. ปีชวด (ปีหนู) วัดพระธาตุศรีจอมทอง จ.เชียงใหม่
ตั้งอยู่ถนนเชียงใหม่-ฮอด หมู่ 2 ตำบลบ้านหลวง อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ห่างจากตัวจังหวัดเชียงใหม่ประมาณ 58 กิโลเมตร วัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นตรีชนิดวรวิหาร ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2506 บริเวณที่ตั้ง เป็นเนินดินสูง ประมาณ 10 เมตร เรียกกันมาตั้งแต่อดีตว่าดอยจอมทอง เป็นสถานที่ประดิษฐานของพระทักษิณโมลีธาตุ พระธาตุส่วนที่เป็นพระเศียรเบื้องขวาของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีขนาดโตประมาณเมล็ดพุทรา สันฐานกลมเกลี้ยง สีขาวนวลเหมือนดอกบวบ หรือสีคล้ายดอกพิกุลแห้ง
ตามประวัติเล่าว่า พระเจ้าอโศกมหาราชเป็นผู้อัญเชิญมาประดิษฐานไว้ที่ดอยจอมทอง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 218 ปัจจุบันพระธาตุถูกบรรจุไว้ในพระโกศ 5 ชั้น ซึ่งตั้งอยู่ภายในพระวิหารจตุรมุข ก่ออิฐถือปูนทั้งองค์ มีฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสคล้ายพระเจดีย์ กว้าง 4 เมตร สูง 8 เมตร ตามประวัติเล่าว่าสร้างขึ้นโดย พระเจ้าดิลกปนัดดาธิราช หรือพระเมืองแก้ว กษัตริย์ราชวงศ์มังราย เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ เมื่อปี พ.ศ. 2060 เป็นพระธาตุประจำปีเกิดปีชวด (ปีหนู)
2. ปีฉลู (ปีวัว) วัดพระธาตุลำปางหลวง จ.ลำปาง
อยู่ห่างจากตัวเมืองลำปางไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 18 กิโลเมตร วัดตั้งอยู่บนเนินสูง มีสิ่งก่อสร้างและสถาปัตยกรรมต่าง ๆ บริเวณพุทธาวาสประกอบด้วย องค์พระธาตุลำปางหลวง เป็นประธาน มีบันไดนาคนำขึ้นไปสู่ซุ้มประตูโขง ถัดซุ้มประตูโขงขึ้นไปเป็นวิหารหลวง บริเวณทิศเหนือขององค์พระธาตุมีวิหารบริวารตั้งอยู่คือ วิหารน้ำแต้ม และวิหารต้นแก้ว ด้านตะวันตกขององค์พระธาตุประกอบด้วย วิหารละโว้และหอพระพุทธบาท ด้านใต้มีวิหารพระพุทธและอุโบสถ
ทั้งหมดนี้จะแวดล้อมด้วยแนวกำแพงแก้วทั้งสี่ด้าน นอกกำแพงแก้วด้านใต้มีประตูที่จะนำไปสู่เขตสังฆาวาส ซึ่งประกอบด้วยอาคาร หอพระไตรปิฎก กุฏิประดิษฐาน พระแก้วดอนเต้า อาคารพิพิธภัณฑ์และกุฏิสงฆ์ ตามประวัติพระนางจามเทวีเคยเสด็จมานมัสการ และทำการบูรณะซ่อมแซมอยู่เสมอ นับว่าเป็นวัดสำคัญคู่บ้านคู่เมืองมาแต่โบราณกาล ที่มีความสวยงามและมีความยอดเยี่ยมทั้งสถาปัตยกรรม ประติมากรรม และจิตรกรรม เป็นที่ประดิษฐาน พระแก้วดอนเต้า ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะของชาวลำปาง และชาวพุทธทั่วไป เป็นพระธาตุประจำปีเกิดปีฉลู (ปีวัว)
3. ปีขาล (ปีเสือ) วัดพระธาตุช่อแฮ จ.แพร่
ตั้งอยู่เนินเขาเตี้ยสูงประมาณ 28 เมตร องค์พระธาตุช่อแฮเป็นเจดีย์ศิลปะเชียงแสนแบบแปดเหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสอง บุด้วยทองดอกบวบหรือทองจังโก องค์พระธาตุสูง 33 เมตร ฐานสี่เหลี่ยมกว้างด้านละ 11 เมตร ลักษณะองค์พระธาตุตั้งอยู่บนฐานเขียงสี่เหลี่ยม 1 ชั้น ถัดขึ้นไปเป็นฐานหน้ากระดานแปดเหลี่ยม 3 ชั้นรองรับ ถัดไปเป็นฐานบัวคว่ำและชุดท้องไม้แปดเหลี่ยม ซ้อนลดชั้นกันขึ้นไป 7 ชั้น จากนั้นเป็นบัวระฆัง 1 ชั้น และหน้ากระดานหนึ่งชั้นจนถึงองค์ระฆังแปดเหลี่ยม
ถัดขึ้นไปเป็นบัลลังก์ย่อมุมไม้สิบสองและปล้องไฉน ส่วนยอดฉัตรประดับตกแต่งด้วยเครื่องบนแบบล้านนา มีรั้วเหล็กรอบองค์พระธาตุ 4 ทิศ มีประตูเข้าออก 4 ประตู แต่ละประตูได้สร้างซุ้มแบบปราสาทล้านนาไว้อย่างสวยงาม มีคำกล่าวว่า ถ้ามาเที่ยวจังหวัดแพร่ แต่ไม่ได้มานมัสการพระธาตุช่อแฮเหมือนไม่ได้มาจังหวัดแพร่ เป็นพระธาตุประจำปีเกิดปีขาล (ปีเสือ)
4. ปีเถาะ (ปีกระต่าย) วัดพระธาตุแช่แห้ง จ.น่าน
ตั้งอยู่ที่หมู่ 3 บ้านหนองเต่า ตำบลม่วงตี๊ด อำเภอภูเพียง จังหวัดน่าน เดิมเป็นวัดราษฎร์ ปัจจุบันเป็นพระอารามหลวง ประดิษฐานอยู่ ณ อำเภอภูเพียง จังหวัดน่าน อยู่ห่างจากตัวเมืองออกไปประมาณ 3 กิโลเมตร ตัวพระธาตุตั้งอยู่บนเชิงเนินปูด้วยอิฐ ลาดขึ้นไปยังยอดเนิน กว้างประมาณ 20 วา มีบันไดนาคขนาบทั้งสองข้าง องค์พระเจดีย์เป็นแบบล้านนา ฐานเป็นสี่เหลี่ยมซ้อนกันขึ้นไปจนสูง ใช้แผ่นทองเหลืองบุรอบฐาน แล้วลงรักปิดทอง มีความสวยงามและโดดเด่นมากเลยที่เดียว
จากพงศาวดารเมืองน่านกล่าวว่า พระยาการเมือง เจ้านครน่านได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุจาก กรุงสุโขทัย มาประดิษฐานไว้ที่ดอยภูเพียงแช่แห้ง และตามตำนานกล่าวว่า พระพุทธเจ้าได้เสด็จมาประทับสรงน้ำที่ริมฝั่ง แม่น้ำน่านทางทิศตะวันออก ที่บ้านห้วยไค้ และเสวยผลสมอแห้ง ซึ่งพระยามลราชนำมาถวาย แต่ผลสมอนั้นแห้งมาก พระพุทธเจ้าจึงทรงนำผลสมอนั้นไปแช่น้ำก่อนเสวย และทรงพยากรณ์ว่า ต่อไปที่นี่จะมีผู้นำพระบรมสารีริกธาตุมาประดิษฐาน จึงเรียกพระสถูปที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุแห่งนี้ว่า พระธาตุแช่แห้ง นั้นเอง และยังเป็นพระธาตุประจำปีเกิดปีเถาะ (ปีกระต่าย) อีกด้วย
5. ปีมะโรง (ปีมังกร) วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร จ.เชียงใหม่
ตั้งอยู่ในบริเวณคูเมืองเชียงใหม่ ถนนสามล้าน ตำบลพระสิงห์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ วัดพระสิงห์ฯ เป็นวัดสำคัญวัดหนึ่งของเมืองเชียงใหม่ เป็นประดิษฐานพระสิงห์ (พระพุทธสิหิงค์) พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองเชียงใหม่และแผ่นดินล้านนา พระพุทธรูปเป็นศิลปะเชียงแสนรู้จักกันในชื่อ เชียงแสนสิงห์หนึ่ง ในสมัยพญาผายู กษัตริย์เชียงใหม่ราชวงศ์มังรายโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 1888 ขั้นแรกให้ก่อสร้างเจดีย์สูง 23 วา เพื่อบรรจุพระอัฐิของพญาคำฟู พระราชบิดา
ต่อมาอีก 2 ปี จึงได้สร้างพระอาราม เสนาสนวิหาร ศาลาการเปรียญ หอไตร และกุฏิสงฆ์ เมื่อเสร็จเรียบร้อย ทรงตั้งชื่อว่า “วัดลีเชียงพระ” สมัยพระเจ้าแสนเมืองมา ขึ้นครองนครเชียงใหม่ โปรดให้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์มาจากเมืองเชียงราย มาประดิษฐานที่วัดแห่งนี้นั้นเอง และยังเป็นพระธาตุประจำปีเกิดปีมะโรง (ปีมังกร) ที่ชาวเชียงใหม่รู้จักกันดี
6. ปีมะเส็ง (ปีงู) เจดีย์ศรีมหาโพธิ์พุทธคยา วัดโพธารามมหาวิหาร จ.เชียงใหม่
ตั้งอยู่ที่ถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ เชียงใหม่-ลำปาง ตำบลช้างเผือก อำเภอเมืองเชียงใหม่ เป็นวัดพระอารามหลวง ชั้นตรี ชนิดสามัญ (เดิมชื่อวัดเจดีย์เจ็ดยอด หรือ วัดเจ็ดยอด) ในปี พ.ศ. 1998 พระเจ้าติโลกราช กษัตริย์องค์ที่ 11 แห่งราชวงศ์มังราย ทรงสร้างวัดโพธารามมหาวิหาร
ทรงสร้างด้วยศิลาแลงประดับลวดลายปูนปั้น เป็นเจดีย์พุทธคยา ประเทศอินเดีย พระเจดีย์ที่นี้มีสถาปัตยกรรมที่แปลกตาไปจากพระเจดีย์อื่นๆ ทั่วไปตรงที่มีฐานเป็นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ล้อมรอบด้วยปูนปั้นเทพพนมและลวดลายดอกไม้ที่มีความวิจิตรงดงาม อีกทั้งยังถือเป็นพระธาตุประจำปีเกิดปีมะเส็ง (ปีงูเล็ก) จะเห็นได้ว่าบริเวณด้านในจะมีผู้คนนำรูปปั้นงูมาถวายเป็นจำนวนมาก
7. ปีมะเมีย (ปีม้า) วัดพระบรมธาตุ จ.ตาก
ตั้งอยู่ที่ ต.เกาะตะเภา อ.บ้านตาก จ.ตาก ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำปิง เดิมวัดแห่งนี้เป็นเมืองตากเก่า ก่อนที่จะมีการย้ายตัวเมืองไปอยู่ที่ ต.ระแหง ตัวเมืองตากในปัจจุบันห่างไปทางทิศใต้ประมาณ 30 กิโลเมตร อันมีประวัติยาวนานตั้งแต่สมัย พระนางจามเทวี ได้ทรงล่องเรือเสด็จไปเมืองลำพูน หยุดพักบริเวณแห่งนี้ ได้เห็นพบว่าเป็นเมืองร้าง จึงได้สั่งให้มีการฟื้นฟูบูรณะเมืองแห่งนี้ขึ้นใหม่
จนกลายเป็นชุมชนเมืองตาก วัดพระบรมธาตุบ้านตาก ยังปรากฏในศิลาจารึของพ่อขุนรามคำแหง ที่ทรงกระทำยุทธหัตถีชนะศึกเจ้าเมืองฉอด บนเนินเขาใกล้กับพระบรมธาตุ ประมาณ 500 เมตร อีหนึงพระธาตุที่สำคัญของชาวเมืองตาก และยังเป็นพระธาตุประจำปีเกิดปีมะเมีย (ปีม้า) ผู้ที่เกิดปีม้าจะนิยมไปกราบสักการะเพื่อความเป็นศิริมงคลของตัวเอง
8. ปีมะแม (ปีแพะ) วัดพระธาตุดอยสุเทพ จ.เชียงใหม่
ตั้งอยู่บนยอดดอยสุเทพ เป็นพระอารามหลวงชั้นโทชนิดราชวรวิหาร สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 1929 ในสมัยพญากือนา กษัตริย์องค์ที่ 6 แห่งอาณาจักรล้านนา ราชวงศ์มังราย พระองค์ทรงได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุองค์ใหญ่ ที่ได้ทรงเก็บไว้สักการบูชาส่วนพระองค์ถึง 13 ปี มาบรรจุไว้ที่นี่ ด้วยการทรงอธิษฐานเสี่ยงช้างมงคลเพื่อเสี่ยงทายสถานที่ประดิษฐาน พอช้างมงคลเดินมาถึงยอดดอยสุเทพ มันก็ร้องสามครั้ง พร้อมกับทำประทักษิณสามรอบ แล้วล้มลง พระองค์จึงโปรดเกล้าฯให้ขุดดินลึก 8 ศอก กว้าง 6 วา 3 ศอก หาแท่นหินใหญ่ 6 แท่น มาวางเป็นรูปหีบใหญ่ในหลุม แล้วอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุลงประดิษฐานไว้
จากนั้นถมด้วยหิน แล้วก่อพระเจดีย์สูง 5 วา ครอบบนนั้น ด้วยเหตุนี้จึงห้ามพุทธศาสนิกชนที่ไปนมัสการสวมรองเท้าใน บริเวณพระธาตุ และมิให้สตรีเข้าไปบริเวณนั้น ในปี พ.ศ. 2081 สมัยพระเมืองเกษเกล้า กษัตริย์องค์ที่ 12 ได้โปรดฯให้เสริมพระเจดีย์ให้สูงกว่าเดิม เป็นกว้าง 6 วา สูง 11 ศอก พร้อมทั้งให้ช่างนำทองคำทำเป็นรูปดอกบัวทองใส่บนยอดเจดีย์ และต่อมาเจ้าท้าวทรายคำ ราชโอรสได้ทรงรับสั่งให้ตีทองคำเป็นแผ่นติดที่พระบรมธาตุ
ในปี พ.ศ. 2100 พระมหาญาณมงคลโพธิ์ วัดอโศการาม เมืองลำพูนได้สร้างบันไดนาคหลวงทั้ง 2 ข้าง เพื่อให้ประชาชนขึ้นไปสักการะได้สะดวกขึ้น และกระทั่งถึงสมัยครูบาศรีวิชัย ท่านได้สร้างถนนขึ้นไป โดยถนนที่สร้างนี้มีความยาวเป็นระยะทางถึง 11.53 กิโลเมตร เป็นหนึ่งในวัดที่มีความสำคัญมากที่สุดของจังหวัดเชียงใหม่ และมีชื่อเสียงในประเทศไทย ก่อสร้างตามแบบศิลปะล้านนา มีเจดีย์ทรงเชียงแสน ฐานสูงย่อมุมระฆังทรงแปดเหลี่ยมปิดด้วยทองจังโก 2 ชั้น ลานเจดีย์เป็นจุดชมทิวทัศน์เมืองเชียงใหม่ ทางขึ้นเป็นบันไดนาคเจ็ดเศียรก่อปูน และที่นี้ยังเป็นพระธาตุประจำปีเกิดปีมะแม (ปีแพะ)
9. ปีวอก (ปีลิง) วัดพระธาตุพนม จ.นครพนม
ตั้งอยู่ที่ ถนนชยางกูร ตำบลธาตุพนม อำเภอธาตุพนม ริมฝั่งแม่น้ำโขง เป็นวัดพระอารามหลวง ชั้นเอก ชนิดวรมหาวิหาร ปัจจุบันมี พระเทพวรมุนีเป็นเจ้าอาวาส ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2549 จนถึงปัจจุบัน ประดิษฐาน ณ มีลักษณะเป็นเจดีย์รูปสี่เหลี่ยมจตุรัสก่อด้วยอิฐ กว้างด้านละ 12.33 เมตร สูง 53.6 เมตร มีกำแพงล้อมองค์พระธาตุ 4 ชั้น องค์พระธาตุตั้งอยู่บนภูกำพร้า เนินดินสูงจากพื้นธรรมดาประมาณ 3 เมตร
ภายในบริเวณมีบึงขนาดใหญ่เรียกว่าบึงธาตุพนม ในวันเพ็ญเดือน 3 ถึง แรม 1 ค่ำ เดือน 3 ของทุกปีจะมีงานประจำปีเพื่อเป็นการนมัสการพระธาตุพนม ภายในวัดมีพระธาตุพนม พิพิธภัณฑ์ บ่อนำพระอินทร์ หอระฆัง ฆ้องใหญ่ หอพระนอน กลองใหญ่ รัตนศาลา ต้นพระศรีมหาโพธิ์ เป็นที่รู้จักกันดีของชาวนครพนมนั้นเอง เป็นพระธาตุประจำปีเกิดปีวอก (ปีลิง)
10. ปีระกา (ปีไก่) วัดพระธาตุหริภุญชัย จ.ลำพูน
ตั้งอยู่ที่ตำบลในเมือง อำเภอเมืองลำพูน อยู่ใจกลางเมืองลำพูน เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดวรมหาวิหาร บนเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 28 ไร่ 3 งาน 26 ตารางวา สร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 17 ในรัชสมัยของพญาอาทิตยราช กษัตริย์แห่งราชวงศ์จามเทวีวงศ์ โดยที่แห่งนี้เคยเป็นพระราชฐานของพระองค์ ซึ่งพระราชทานอุทิศถวายให้เป็นวัดพระธาตุฯ เพื่อเป็นพุทธบูชาหลังจากที่พระบรมสารีริกธาตุได้ปรากฏ ให้พระองค์ได้ทอดพระเนตรในบริเวณดังกล่าว มวลสารผงจากองค์พระบรมธาตุหริภุญชัยใช้ทำพระสมเด็จจิตรลดา
ที่นี้ยังเป็นโบราณสถานอันสำคัญของนครหริภุญชัยที่ พระเจ้าอาทิตยราชเป็นผู้สถาปนาขึ้นในราว พุทธศตวรรษที่ 17 เพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ อันมีธาตุกระหม่อม ธาตุกระดูกอก ธาตุกระดูกนิ้วมือ และธาตุย่อยอีกเต็มบาตรหนึ่ง ตามพุทธทำนายลักษณะทางสถาปัตยกรรมขององค์พระธาตุหริภุญชัย ตามที่ปรากฏในหนังสือตำนานพระธาตุหริภุญชัยกล่าวว่า มีลักษณะเป็นสถูปสี่เหลี่ยมทรงปราสาท ที่มีซุ้มทวาร เข้า- ออก ทะลุกันได้ทั้งสี่ด้าน มีปราสาทสี่เหลี่ยมอยู่ตรงมุมละองค์ก่อด้วยศิลาแลงซึ่งเป็นวัตถุดิบที่มีมากอยู่ในเมืองนี้ ภายในเป็นแท่น สำหรับประดิษฐาน พระโกศที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ เป็นวันที่สำคัญและมีชื่อเสียงในจังหวัดลำพูนเป็นอย่างมาก และที่นี้ยังเป็นพระธาตุประจำปีเกิดปีระกา (ปีไก่)
11. ปีจอ (ปีหมา) พระธาตุวัดเกตการาม จ.เชียงใหม่
ตั้งอยู่บนถนนเจริญราษฎร์ ตำบลวัดเกตุ อำเภอเมืองเชียงใหม่ เดิมชื่อว่า “วัดสระเกษ” สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 1971 ในรัชสมัยพระเจ้าสามฝั่งแกน พระองค์ทรงโปรดให้พระยาเมือง พระยาคำ และพระยาลือ สร้างวัดแห่งนี้ขึ้น ชื่อ “วัดเกตการาม” มาจากคำว่า “เกศ” ซึ่งเป็นชื่อของพระธาตุเกศแก้วจุฬามณี บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นที่ประดิษฐานพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า มีพระเจดีย์เกศแก้วจุฬามณี เป็นพระธาตุประจำปีจอ ศิลปะล้านนาอิทธิพลสุโขทัย มีฐานสี่เหลี่ยมย่อเก็จ แต่ละมุมนั้นมีเจดีย์บริวารและปูนปั้นพญาครุฑ พระพุทธรูปปางประทานพรประดิษฐานอยู่ในซุ้มจระนำ 4 ด้าน อีกทั้งองค์เจดีย์ทรงระฆังคว่ำประดับกระจกสี และทองจังโกดุนลาย สวยงามโดดเด่น และสะดุดตาแก่ผู้พบเห็นที่มา
ส่วนยอดเป็นฉัตรสีทอง 7 ชั้น สร้างจำลองพระเจดีย์เกศแก้วจุฬามณีบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์มาไว้บนโลกมนุษย์ องค์พระธาตุเอียงเล็กน้อย เป็นความตั้งใจของผู้สร้างไม่ได้เกิดจากการทรุดตัว เพราะไม่ต้องการให้ยอดเจดีย์ชี้ขึ้นไปบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อแสดงความอ่อนน้อม และไม่ล่วงเกินต่อพระเจดีย์เกศแก้วจุฬามณีองค์จริง นอกจากจะบูชาเจดีย์ด้วยธูปเทียนแล้ว ชาวล้านนายังบูชาด้วยโคมอีกด้วย เพื่อให้โคมดังกล่าวลอยไปนมัสการพระธาตุบนสวรรค์นั่นเอง และเป็นพระธาตุประจำปีเกิดปีจอ (ปีหมา) ที่เป็นที่รู้จักกันดีอีกด้วย
12. ปีกุน (ปีหมู) วัดพระธาตุดอยตุง จ.เชียงราย
ตั้งอยู่บริเวณส่วนที่เรียกว่าหน้าอกของดอยนางนอน ตำบลห้วยไคร้ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นถิ่นที่อยู่ของชาวเขา ซึ่งดอยตุงมีระยะทางห่างจากอำเภอเมืองเชียงรายประมาณ 46 กม. และมีพระธาตุดอยตุงประดิษฐานอยู่บนยอดดอย สามารถมองเห็นได้ในระยะไกลเนื่องจากพระธาตุดอยตุง ตั้งอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณสองพันเมตร เป็นพระธาตุประจำปีเกิดปีกุน (ปีหมู)
ตามตำนานเล่าว่า พระธาตุดอยตุงสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าอชุตราช กษัตริย์ผู้ครองเมืองโยนกนาคพันธุ์(ปัจจุบันคืออำเภอแม่จัน) พระมหากัสสปะได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุlส่วนพระรากขวัญเบื้องซ้าย(กระดูกไหปลาร้า) แล้วมอบให้แก่ พระเจ้าอชุตราช ได้สร้างเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุนั้นไว้บนดอยแห่งนี้ ดังที่พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ไว้ แล้วจึงได้ให้ทำตุง (ธง) มีความยาว 1,000 วาปักบนยอดเขาหากตุงปลิวไปถึงที่ใดก็กำหนดให้เป็นฐานของพระเจดีย์ ทั้งนี้พระองค์ได้พระราชทานทองคำให้พวกลาวจกเป็นค่าที่ดิน และให้พวกมิลักขุ 500 ครอบครัวดูแลรักษาพระธาตุ
ต่อมาในสมัยพญามังรายแห่งราชวงศ์มังราย พระมหาวชิรโพธิเถระได้นำพระบรมสารีริกธาตุมาถวาย 50 องค์ พญามังรายจึงให้สร้างพระเจดีย์อีกองค์ใกล้กับเจดีย์องค์เดิม นับจากนั้นเป็นต้นมาพระธาตุดอยตุงจึงได้มีเจดีย์สององค์มาจนถึงทุกวันนี้
โดย”ตุง” นับเป็นสัญลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของชาวล้านนา หมายถึง ความเจริญรุ่งรุ่ง การมีชัยชนะ ในวัดจะมี รอยปักตุง เป็นรอยแยกบนพื้น ยาวประมาณ 1 ฟุต อยู่ด้านหน้าพระธาตุ เชื่อกันว่า เป็นรอยแยกที่ใช้ปักฐานตุงบูชาพระธาตุ สร้างมาประมาณ 1,000 ปีแล้ว พระบรมธาตุดอยตุงเป็นที่เคารพสักการะของชาวล้านนา ทุกปีจะมีงานนมัสการพระบรมธาตุในวันเพ็ญเดือน 3 นั้นเอง